ยอ : กระตุ้นระบบภูมิต้านทานร่างกาย
สรรพคุณ กระตุ้นการทำงานเซลล์ระบบภูมิต้านทาน แก้หอบหืด ลดความดันโลหิตสูง ลดเบาหวาน ไขข้ออักเสบ ภาวะกรดไหลย้อน ภาวะเลือดลมไม่ปกติของสตรีวัยทอง ช่วยระบาย
ประโยชน์ด้านความงาม คือ ช่วยชะลอการเสื่อมของผิว ลดการเกิดริ้วรอย ทั้งนี้้ผู้ป่วยที่มีการทำงานไตบกพร่องควรหลีกเลี่ยง
มะกรูด : บำรุงผม ประโยชน์เหลือล้นคนโบราณนิยมสระผมด้วยน้ำมะกรูด เพราะช่วยให้ผมดำเป็นมัน ไม่แห้งกรอบ บ้างก็ผ่าผลดิบบีบน้ำชโลมสระผมโดยตรง บ้างก็นำไปเผาหรือต้มก่อนคั้นน้ำสระ มีหลายวิธีให้เลือกดังนี้1.ใช้มะกรูดสดผ่าครึ่ง แคะเมล็ดออก คั้นน้ำใช้สระผม ฝานผิวมะกรูด นำมาตำให้ละเอียด ผสมด้วยน้ำมะกรูด เติมน้ำพอให้ส่วนผสมเริ่มเหลว คนให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วกรองคั้นเอาแต่น้ำไปใช้สระผม 2.ใช้มะกรูดสดหรือเผาไฟก่อนก็ได้ หั่นผลมะกรูดเป็นชิ้น ปั่นชิ้นมะกรูดให้ละเอียด เทใส่ชาม เติมน้ำอุ่นพอท่วมส่วนผสม คนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 10-20 นาที คั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ใช้สระผม เก็บได้นาน 1-2 สัปดาห์
ทั้งนี้ก่อนสระผมควรราดน้ำบนผมให้เปียกชุ่มเสียก่อน ใช้น้ำมะกรูดปริมาณพอดีๆ นวดหนังศีรษะไปด้วยขณะสระผม ทิ้งไว้ 2-3 นาทีก่อนล้างออกและสระด้วยน้ำมะกรูดซ้ำอีกครั้ง ล้างออกให้สะอาดไม่ให้มีเศษมะกรูดหลงเหลืออยู่
สรรพคุณทางยา
1.ใบมะกรูด มีรสปร่า กลิ่นหอม ดับกลิ่นคาว แก้ไอ แก้ช้ำใน
2.ผลมะกรูด ตัดจุกผลมะกรูด คว้านไส้กลางออก ใส่มหาหิงส์แล้วปิดจุก นำไปเผาไฟจนดำเกรียม บดเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งใช้กิน จะช่วยขับลมแก้ปวดท้อง หรือใช้ป้ายลิ้นเด็กอ่อนเป็นยาขับขี้เทาได้ ใช้เป็นยาขับลมแก้ปวดท้องในเด็กอ่อนด้วย
3.น้ำมะกรูด มีรสเปรี้ยว ใช้ผลมะกรูดผ่าซีกเติมเกลือลนไฟให้เปลือกนิ่ม บีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อยๆ ช่วยกัดเสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว กัดเถาดานในท้อง แก้ระดูเสีย ฟอกโลหิต ขับระดู ขับลมในลำไส้ ใช้ถูฟันแก้เลือดออกตามไรฟัน
4.ผิวมะกรูด มีรสปร่า กลิ่นหอมร้อน ขับลมในลำไส้ ขับระดู ขับผายลม ฝานบางๆ ชงน้ำเดือดใส่การบูรเล็กน้อย กินแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจและช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดี
5.ราก มีรสจืดเย็น แก้ไข้ ถอนพิษสำแดง แก้ลมจุกเสียด กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะ
น้ำนมราชสีห์ : แก้ผดผื่นคันชื่ออื่นๆ นมราชสีห์, ผักโขมแดง, หญ้าน้ำหมึก
สรรพคุณแก้พิษ ขับน้ำนม แก้ผดผื่นคัน ลำไส้อักเสบอย่างเฉียบพลัน บิดจากแบคทีเรีย หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด ฝีในปอด มีพิษบวมแดง ฝีที่เต้านม ขาเน่าเปื่อย วิธีและปริมาณที่ใช้ทั้งต้นแห้ง 6-10 กรัม (สด 30-60 กรัม) ต้มน้ำกิน ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง หรือตำพอกตำรับยา1. แก้บิดมูกเลือด ใช้ทั้งต้นแห้ง 15-25 กรัม บิดถ่ายเป็นเลือดให้ผสมน้ำตาลทราย บิดถ่ายเป็นมูกให้ผสมน้ำตาลทรายแดง ใช้น้ำต้มสุกตุ๋นเอาน้ำกิน
2. แก้เบาขัด หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด ใช้ต้นสด 20-60 กรัม ผสมน้ำต้มกินวันละ 2 ครั้ง
3. แก้ฝีมีหนองลึกๆ ใช้ใบสด 1 กำมือ ผสมเกลือ และน้ำตาลแดงอย่างละเล็กน้อยตำพอก
4. แก้ฝีในปอด ใช้ต้นสด 1 กำมือ ตำคั้นเอาน้ำครึ่งแก้ว ผสมน้ำดื่ม
5. แก้ฝีที่เต้านม ใช้ต้นสด 60 กรัม ร่วมกับเต้าหู้ 120 กรัม ต้มกิน และใช้ต้นสด 1 กำมือ ผสมเกลือเล็กน้อยตำผสมน้ำร้อนเล็กน้อยพอกบริเวณที่เป็น
6. แก้เด็กเป็นตานขโมย (ผอม พุงโร ก้นปอด) ใช้ต้นสด 30 กรัม กับตับหมู 120 กรัม ตุ๋นกิน
7. แก้เด็กศีรษะมีแผลเปื่อยเน่า มีน้ำเหลือง ใช้ต้นสด 1 กำมือ ต้มเอาน้ำชะล้างแผล
8. แก้ขาเน่าเปื่อย ใช้ต้นสด 100 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ ครึ่งลิตร 3-5 วัน เอาไว้ทาบริเวณที่เป็นบ่อย ๆ
9. แก้บาดแผลมีเลือดออก ใช้ใบสดขยี้หรือตำพอกแผล ห้ามเลือด
10. ยางใช้กัดหูด ตาปลา ใช้ยางขาวทาที่เป็นบ่อยๆ
มะรุม : ลดความดันโลหิตสูงใบมะรุมมีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 7 เท่า มีแคลเซียมสูงกว่านม 4 เท่า มีวิตามินเอสูงกว่าแครอต 4 เท่า มีโพแทสเซียมสูงกว่ากล้วย 3 เท่า มีโปรตีนสูงกว่านม 2 เท่า
ใบและดอกมะรุมมี สรรพคุณในการขับน้ำนม เพิ่มแคลเซียมให้กับเด็กทารก เหมาะสำหรับแม่ลูกอ่อนอย่างยิ่ง ช่วยลดไขมันและคอเลสเทอรอล นอกจากนี้คุณสมบัติเด่นคือ ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดี
ตัวอย่างตำรับยา- ตำรับที่ 1 นำรากมาต้มกินเป็นซุป
- ตำรับที่ 2 นำยอดมาต้มกิน
- ตำรับที่ 3 นำยอดอุ๊ปใส่เนื้อวัวกิน ซึ่งต้องเป็นเนื้อวัวเท่านั้น
- ตำรับที่ 4 นำรากมะรุมต้มกับรากย่านางกิน
- ตำรับที่ 5 ใช้ยอดมะรุมสด โดยจะเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นเอาน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมน้ำผึ้งพอหวาน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว
**ทั้งนี้ห้ามกินมะรุมผงแคปซูล (ทั้งใบมะรุม และเม็ดมะรุม) ลดความดันโลหิต เพราะเป็นอันตรายต่อตับ**
แมงลัก : ผักริมรั้วมากคุณค่าเป็นพืชล้มลุกอยู่ในสกุลเดียวกับกะเพราและโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบจะมีสีเขียวจางกว่าใบกะเพรา ใบแมงลักใช้กินสด ใส่สลัดผัก ประดับจานอาหาร ส่วนมากในประเทศไทยจะกินกับขนมจีน หรือใส่แกงเลียงและแกงต่างๆ ผลที่คนไทยเรียกว่าเมล็ดแมงลักใช้ทำขนมน้ำแข็งไส ใส่ไอศกรีม ใส่น้ำเต้าหู้ หรือใส่ในวุ้นสรรพคุณทางยา1.ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม
2.ขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ค่อยสบาย นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม
3.บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือล้างสะอาด โขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น
4.บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อย หรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการ และเปลี่ยนยาบ่อยๆ
5.แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลักสัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม แก้ท้องร่วงได้
6.เพิ่มน้ำนมแม่ ให้แม่ที่ให้นมลูกกินแกงเลียงหัวปลี ใส่ใบแมงลัก และให้ลูกดูดหัวน้ำนมบ่อยๆ เพิ่มการสร้างน้ำนมแม่
7.บำรุงสายตา ใบแมงลักมีวิตามินเอสูง การกินใบแมงลักเป็นประจำช่วยบำรุงสายตา
8.บำรุงเลือด แก้โลหิตจาง ใบแมงลักอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต
9.เสริมสร้างกระดูก ใบแมงลักมีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก
10.ยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลัก สัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้ว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้ท้องผูก แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง ที่ไม่ต้องการภาวะท้องผูกเพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ
11.ใช้ลดความอ้วน เปลือกผล (ที่เรียกเมล็ดแมงลัก) มีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกาก ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมง ดื่มน้ำตาม ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ลดปริมาณพลังงานอาหาร ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว จำนวนครั้งในการขับถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น ลดอาการท้องผูกด้วย
** ข้อควรระวังการใช้แมงลัก ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้ (โดยเฉพาะแมงลักที่บดเป็นผง)
ถั่วพู : บำรุงร่างกายถั่วพูมีคุณค่าเทียบเท่าถั่วเหลือง เมล็ดถั่วพูให้โปรตีนสูงกว่าเมล็ดถั่วเหลือง และในทุกส่วนที่นำมากินได้ของถั่วพู (เช่น ดอก ใบอ่อน หัวใต้ดิน) ล้วนประกอบไปด้วยโปรตีนและธาตุอาหารต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และเหล็ก
สรรพคุณรากใช้ประกอบสมุนไพรและน้ำดอกไม้ เป็นยาแก้โรคหัวใจและชูกำลัง หัวใต้ดินเผาหรือนึ่งกินช่วยบำรุงกำลัง เมล็ดแก่ของถั่วพู ตากแห้งบดเป็นผงละลายน้ำครั้งละ 5-6 กรัม กินวันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย
กะทือ : กินก็ได้ดอกก็งาม แต่นามไม่เพราะผักอย่างหนึ่งมีหัวอยู่ใต้ดิน รสเผ็ด ทำยาก็ได้ ต้มกินได้ แกงปลาไหลกินก็ดี เหง้าสดใช้ใส่แกงเพื่อดับกลิ่นคาวปลา ส่วนเหง้าแก่หั่นขยำกับน้ำเกลือจนจืดแล้วนำมากินเป็นผักได้
สรรพคุณทางสมุนไพรแทบทุกส่วน เช่น ต้น แก้เบื่ออาหาร ใบ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ ดอก แก้ไข้เรื้อรัง แก้ไข้ผอมเหลือง ราก แก้ไข้ที่ทำให้ตัวเย็น หัวและเหง้า บำรุงน้ำนม แก้บิดปวดมวน ขับผายลม ขับปัสสาวะ
ตะคร้อ : เปรี้ยวแต่คุณค่าเยอะ
สรรพคุณ แก่นต้มน้ำดื่มแก้ฝีหนอง แก้ปวดหลัง เปลือกผลเป็นยาสมานท้อง แก้ท้องร่วง น้ำต้มเปลือกช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน นำมันจากเมล็ดช่วยบำรุงผมแก้ผมร่วง น้ำตะคร้อมีวิตามินซีและแคลเซียม ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและเนื้อเยื่อเอ็นกระดูกอ่อน
มณีเทวาชื่ออื่น : หญ้ากระดุมเงิน หญ้าตุ้มหู หญ้าดอก หญ้าหัวหงอก หญ้าผมหงอก ฯลฯ มณีเทวา เป็นพรรณไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานชื่อไว้ ไม้ล้มลุกคล้ายหญ้า สูง 2-6 ซม. ดอกสีขาวออกเป็นช่อ ขึ้นตามธรรมชาติที่รกร้างว่างเปล่า ทุ่งนา พื้นที่โล่งชุ่มชื้น หรือชายป่าโปร่ง พบในแถบภาคตะวันออกและภาคอีสาน โดยทั่วไปดอกจะบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งหลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
สรรพคุณทางยา ทั้งต้นเป็นยาแก้ไข้ แก้ปวด ขับปัสสาวะ
ทองพันชั่ง : แก้กลากเกลื้อน ปวดตามข้อ
ชื่ออื่น : ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่ ทองพันดุลย์ ฯลฯ
สรรพคุณทางยา
(1) ใบ ใช้ใบสด หรือคั่วให้แห้ง นำมาชงในน้ำใช้ดื่ม ช่วยขับปัสสาวะ หรือใช้เป็นยาระบายได้
(2) ใบและราก ใบสด 5-8 ใบ และรากสด 2-3 ราก นำมาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำออก จากนั้นก็นำมาแช่ด้วยแอลกอฮอล์หรือในสุรา ใช้ทารักษาผิวหนัง กลากเกลื้อน หรือผื่นคัน
(3) ทั้งต้น ใช้แก้มะเร็งหลายชนิด ยาตำรับรักษามะเร็งส่วนใหญ่มักจะใช้ต้นทองพันชั่ง เป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น (4) ยารักษาข้ออักเสบ ปวดเส้นขา ใช้ต้นทองพันชั่ง 35 กรัม หญ้าดอกขาว 25 กรัม ต้มดื่มเช้า-เย็น วันละ 1-2 ถ้วยชาใหญ่ รักษาอาการบวมปวดข้อได้ดี
เล็บแมวชื่ออื่น : หนามเล็บแมว แก้วมือไว เล็บเหยี่ยว มะตันขอ ฯลฯ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบคล้ายใบพุทรา มีหนามตามกิ่ง พบตามป่าผลัดใบ ป่าเบจพรรณ ป่าดิบเขาทั่วไป ผลสุกช่วงพฤศจิกายน – ธันวาคม นิยมกินทั้งเนื้อทั้งเมล็ด แต่กว่าจะได้กินต้องเลือดตกยางออกพอสมควร หนามเกี่ยวมือ เกี่ยวเสื้อบ้าง เพื่อแลกกับความอร่อยหวานอมเปรี้ยว
สรรพคุณทางยา หมอพื้นบ้านใช้เปลือกและรากต้มดื่มขับปัสสาวะ ผลช่วยให้ชุ่มคอ แก้เสมหะ